บริการคอร์สออกกำลังกาย

เว็บไซต์จัดทำขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างการให้บริการในธุรกิจฟิตเนส ยิมออกกำลังกาย ไม่มีการดำเนินการจริงแต่อย่างใด ข้อความ และรูปภาพต่างๆ นำมาจากใน internet และได้อ้างอิงถึงเนื้อหาไว้เรียบร้อยแล้ว
และขอบคุณสำหรับรูปภาพ และเนื้อหาบทความต่างๆ
  • K-FITNESS
  • TRAINER
  • EXERCISE COURSE
รายการทั้งหมด

ทีมงาน และบรรยากาศ

MANEGER

คุณจัมป์ ผู้จัดการฟิตเนส ดูและความเป็นระเบียบเรียบร้อย ใส่ใจทุกรายละเอียด

TRAINER

คุณไกรลาส ผู้ฝึกสอนมือหนึ่งของเรา จริงจังในการสอน เข้มงวด ดุดันไม่เกรงใจใคร

TRAINER

คุณนิศรา ผู้ฝึกสอนโยคะ ใจเย็นมาก อัธยาศัยดี

TRAINER

คุณปราณ เทรนเนอร์ที่ตามใจลูกค้า สอนแบบค่อยเป็นค่อยไป

TRAINER

คุณอดิสร เทรนเนอร์สุดหล่อ ใจดี แต่เข้มงวดมาก ต้องควบคุมอาหารตามตาราง

VDO
Praesentation

สนใจติดต่อทีมงานมืออาชีพ พร้อมให้บริการ 24 ชั่วโมง

รีวิวลูกค้าจริง K-FITNESS

ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่รีวิวให้ ทางเราจะพัฒนาการให้บริการดียิ่งขึ้นค่ะ

คุณจ๊อบ / ใช้บริการซื้อคอร์สฟิตเนส

" ไปออกกำลังกายมาดีมากครับ ฟิตเนสใหญ่สะอาด อุปกรณ์ครบครันมากครับ "

26 พ.ย. 2558

คุณส้ม / ใช้บริการไปออกกำลังกาย

" ฟิตเนสอุปกรณ์ครบมากค่ะ ใหญ่มาก เเละมีเทรนเนอร์เเนะนำต่างๆดีมาก "

10 ม.ค. 2563

คุณจุ้ย / ใช้บริการออกกำลังกายกับเทรนเนอร์

" เทรนเนอร์สอนดีมาก ประทับใจมากค่ะ "

26 พ.ย. 2558

สนใจออกกำลังกาย สถานที่กว้าง เครื่องเล่น และอุปกรณ์ครบครัน K-FITNESS มีเทรนเนอร์ประจำ และชั่วคราว

ราเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ คือการใส่ใจในเรื่องสุขภาพ เรามีพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ทันสมัยและหลากหลายที่สุด ฟิตเนสของเราเลือกสรรอุปกรณ์ทุกชิ้นด้วยความใส่ใจ

เคล็ดลับออกกำลังกายอย่างไร ให้ทำได้ต่อเนื่อง โดยไม่ขี้เกียจ

การออกกำลังกาย ถือเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุด ซึ่งนอกจากจะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้แล้ว ยังจะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้นด้วย คนออกกำลังกายจึงมีข้อได้เปรียบมากกว่าคนที่ลดความอ้วนหรือลดน้ำหนักด้วยการคุมอาหารเพียงอย่างเดียว แต่จะออกกำลังกายอย่างไรให้เกิดความเคยชิน ไม่รู้สึกเบื่อหรือขี้เกียจขึ้นมากลางคัน วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ มาฝากกัน ที่จะสามารถทำให้คุณออกกำลังกายได้ต่อเนื่องโดยไม่ล้มเลิกความตั้งใจไปก่อน
 
1.เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการออกกำลังกายที่บ้าน
การออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ดี ควรเริ่มต้นมาจากการออกกำลังกายง่ายๆ ในบ้านของคุณเอง ซึ่งถือเป็นวิธีที่ไม่ทำให้คุณต้องเสียเงินสิ้นเปลืองกับการไปสมัครคอร์สแพงๆ ที่ฟิตเนส แถมยังไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทาง เพราะตื่นนอนในแต่ละวัน คุณก็สามารถออกกำลังกายได้ตามต้องการได้เลย โดยคุณอาจจะเลือกวิ่งเหยาะภายในห้อง, กระโดดเชือก, ฝึกโยคะหรือหรือวิ่งจ็อกกิ้งภายในสวนสาธารณะละแวกบ้านของคุณก็ได้
 
2.เลือกท่าออกกำลังกายง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์
เหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ขี้เกียจออกกำลังกายก็คือ การที่จะต้องหาอุปกรณ์ต่างๆ มาใช้ประกอบการออกกำลังกาย ทำให้เปลืองเวลา และเปลืองค่าใช้จ่าย ดังนั้นคุณสามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลมได้ด้วยการเลือกท่าออกกำลังกายแบบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น การวิ่งเหยาะๆ, การเต้นตามจังหวะเพลง, การโยคะหรือวิ่งขึ้น-ลงบันได เป็นต้น
 
3.ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
หลายคนที่ออกกำลังกายก็มักต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างในระยะเวลาที่ต้องการ บางคนเมื่อออกกำลังกายไปสักพัก แล้วไม่รู้สึกว่าตัวเองผองลง ก็อาจจะเลิกกลางคันไปซะดื้อๆ ดังนั้นเราขอให้คุณใจเย็นๆ ไว้ก่อน ท่องไว้ว่าการออกกำลังกายนอกจากจะทำให้ผอมลงแล้วก็จะทำให้ร่างกายสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ด้วย การคิดในลักษณะนี้จะทำให้คุณเกิดแรงจูงใจในการออกกำลังกายมากขึ้น และยังทำให้คุณออกได้ยาวนานมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
 
4.ไม่หักโหมมากเกินไป
การออกกำลังกายหักโหมมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้าเกินความจำเป็น ดังนั้น ไม่ควรใส่เต็ม 100 ในการออกกำลังกาย ควรเผื่อเอาไว้สัก 20 และออกกำลังกายในระดับ 70-80 % เท่านั้น เมื่อรู้สึกเจ็บหรือเมื่อยล้าก็พักร่างกายสักเล็กน้อย พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำต่อ วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกดีกับการออกกำลังกายมากขึ้น และไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องฝืนมากเกินไป
 
จะเห็นได้ว่าสาวๆ สามารถลดน้ำหนักด้วยตัวเองแบบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียตังค์เข้าฟิตเนสแพงๆ และยังเป็นการฝึกนิสัยในการออกกำลังกายให้เกิดความคุ้นชินในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี หากทำเป็นประจำก็จะสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวที่ลดลงได้อย่างตรงความต้องการมากยิ่งขึ้น
 
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก https://www.sanook.com/women/147689/
19 ก.พ. 2567

5 วิธีออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักผิดๆ ที่คนมักไม่รู้ตัว

1. ไม่ทานอาหารที่ให้พลังงานก่อนออกกำลังกาย
บางคนบ้าออกกำลังกายมาก เพื่อให้รูปร่างเล็กลง น้ำหนักลดลง จึงพยายามควบคุมปริมาณอาหารที่ทานเข้าไป และไปออกกำลังกายหนักๆ ด้วยเข้าใจว่าจะ “เบิร์น” เอาพลังงานที่ทานเกินเข้าไปออกให้หมด แต่ทราบหรือไม่ว่า หากไม่ทานอาหารที่ให้พลังงานกับร่างกายเลย แล้วไปออกกำลังกายหนักๆ นอกจากจะมีสิทธิ์เป็นลมเป็นแล้งไปได้แล้ว ยังอาจเสี่ยงเป็นโรคขาดสารอาหารในระยะยาวอีกด้วย และบอกได้เลยว่าร่างกายรวนแน่ๆ
 
เพราะฉะนั้นทานอาหารให้หลากหลาย ทานอาหารให้ครบทุกหมู่ เพียงแต่จำกัดปริมาณให้ดี แล้วค่อยออกกำลังกายดีกว่าค่ะ
 
2. ออกกำลังกายท่าเดียว
เคยเห็นคนที่ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส แล้วเอาแต่ยกเวทหรือเปล่าคะ หากเขาลุกไปเล่นเครื่องออกกำลังกายอื่นๆ ด้วยก็ดีไป แต่ถ้าเห็นเขาเล่นแต่แขนอย่างเดียว หรือกล้ามเนื้อท้องอย่างเดียว ต้องเตือนเขาแล้วล่ะ เพราะการออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของร่างกายอย่างแท้จริง ต้องออกกำลังกายให้ได้ทุกส่วน ทั้งแขน ขา หน้าท้อง สะโพก หรือส่วนอื่นๆ ด้วย ถ้าหน้าท้องมีซิกแพค แต่แขนขาไม่เฟิร์มก็คงแปลกๆ ดังนั้นพยายามออกกำลังกายให้ครบทุกส่วนนะคะ
 
3. คาร์ดิโอมากเกินไป
มีอีกบางจำพวกที่เอาแต่วิ่งๆ กระโดดๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กระตุ้นให้ร่างกายเหนื่อยหอบ หัวใจเต้นอยู่ตลอดเวลา หากเล่นคาร์ดิโอเพื่อเบิร์นหนักๆ ร่างกายจะเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินกับการเบิร์นในแบบนั้น จากที่เคยใช้เวลา 30 นาที เพื่อเบิร์น 200 กิโลแคลอรี่ หากร่างกายปรับตัวเมื่อไร เราอาจจะวิ่งได้นานขึ้น เหนื่อยน้อยลง แต่เผาผลาญพลังงานเท่าเดิม ดังนั้น เราควรออกกำลังกายแบบอื่นๆ สลับกันไปเรื่อยๆ อย่าให้ร่างกายคุ้นชินกับคาร์ดิโอมากเกินไป
 
4. ไม่วอร์มอัพ-คูลดาวน์
หลายคนไม่เห็นความสำคัญของการวอร์มร่างกายก่อนออกกำลังกาย และลืมที่จะคูลดาวน์หลังออกกำลังกายด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าทั้งสองอย่างนี้มีความสำคัญต่อร่างกายมากๆ เพราะการวอร์มอัพ และคูลดาวน์เป็นการช่วยลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ดี นอกจากนี้ยังเป็นการวอร์มกล้ามเนื้อหัวใจ ให้เต้นเป็นจังหวะ ไม่เร่งเร้าการสูบฉีดโลหิตมากเกินไป ลดอาการเหนื่อยหอบอย่างเฉียบพลัน หรือหน้ามืดจากการออกกำลังกายได้มากขึ้นอีกด้วย
 
5. นับแคลอรี่เป็นบ้าเป็นหลัง
จะกินอะไรก็นั่งนับอย่างละเอียด หยิบเครื่องคิดเลขมานั่งกดๆ เกินไป 10 กิโลแคลอรี่ก็จะไม่กิน แบบนี้เรียกว่าเคร่งครัดเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตได้ในภายหลัง ทางที่ดีควรทานอย่างระมัดระวัง ทานพออิ่ม เลือกประเภทของอาหารที่ทาน มีสติว่าวันนี้ทานอะไรไปบ้าง ควรหรือไม่ควรทานต่อ แล้วออกกำลังกายตามปกติ ทำเป็นประจำทุกวัน เท่านี้ก็ไม่ต้องนับแคลอรี่ให้วุ่นวาย นอกจากจำนวนแคลอรี่จะไม่ได้เท่ากันทุกจาน ทุกมื้ออย่างที่เข้าใจแล้ว หากกลางวันทานเยอะแล้ว แก้ปัญหาด้วยการไม่ทานอาหารเย็นเลย ก็อาจเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะในอนาคตได้
 
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากอยากออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักอย่างเห็นผล แต่ไม่แน่ใจในท่าออกกำลังกาย หรือการทานอาหาร เพื่อความปลอดภัยของร่างกายเราเอง คุณสามารถขอรับคำปรึกษาจากนักโภชนาการ และเทรนเนอร์ประจำฟิตเนสได้ค่ะ
 
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก https://www.sanook.com/health/3565/
19 ก.พ. 2567

วิธีออกกำลังกายให้เหมาะสมกับช่วงเวลา เช้า-กลางวัน-เย็น

ช่วงเวลาของการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดคือ ช่วงเวลาที่เราสะดวกที่สุด เพราะเป็นช่วงเวลา ที่ไม่ต้องเร่งรีบ ทำให้สนุกสนานไปกับการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ถ้าเราเลือกรูปแบบของการออกกำลังกายที่เหมาะสมแต่ละช่วงเวลา ก็จะทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
เรามีแนะนำรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมของช่วงเวลา เช้า กลางวัน และเย็น  เพื่อเป็นไอเดียในการออกกำลังกายดังนี้
 
ช่วงเช้า เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังฟื้นตัวจากการพักผ่อนในช่วงเวลากลางคืน และหลายคนก็เลือกออกกำลังกายในช่วงเช้า เพราะสามารถทำเป็นกิจวัตรประจำวันได้ ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงเช้ามีประโยชน์จะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญของร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปได้ทั้งวัน อีกทั้งช่วยกระตุ้นระบบการทำงานของหัวใจ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และยังทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น และตื่นตัวพร้อมสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ เนื่องจากการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น แถมยังช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นนั่นเอง อีกทั้งอากาศที่บริสุทธิ์และแสงแดดในตอนเช้ายังมีประโยชน์กับร่างกายด้วยเช่นกัน
 
ข้อควรปฏิบัติในการออกกำลังกายตอนเช้า
หากต้องการออกกำลังกายในช่วงเวลาเช้า ควรจะรับประทานอาหารก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอต่อการออกกำลังกาย และควรอบอุ่นร่างกายให้นานกว่าการออกกำลังกายในช่วงเวลาอื่น ๆ อย่างน้อย 10 - 15 นาที เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นมากพอสำหรับการออกกำลังกาย ที่สำคัญไม่ควรจะรีบรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำทันทีหลังจากออกกำลังกายหนัก เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการหายใจไม่ทัน หรือจุกได้ นอกจากนี้ยังควรพักผ่อนให้เพียงพออีกด้วย ในกรณีที่ป่วยควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายเพราะอาจจะทำให้หมดแรงได้
 
การออกกำลังกายที่แนะนำในตอนเช้าจะเป็นการออกกำลังกายที่เน้นในเรื่องของการทำ Cardio และการ Burn Fat หรือ Burn Calorie ยกตัวอย่างเช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
 
ช่วงกลางวันถึงบ่าย เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายทำงานอย่างเต็มที่ และอุณหภูมิในร่างกายจะเป็นปกติ การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายฟื้นตัวจากการพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงเวลานี้ร่างกายของเราจะมีระดับฮอร์โมนและการไหลเวียนที่สูงกว่าในช่วงเช้าและอยู่ในระดับปกติ ทำให้สามารถออกกำลังกายได้มากขึ้น ช่วยลดความอยากอาหารในมื้อกลางวันและมื้อเย็นได้ นอกจากนี้ยังไม่ทำให้กินจุบจิบอีกด้วย แถมยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นหลังจากการทำงานในช่วงเช้า ลดอาการง่วงเหงาหาวนอนในช่วงบ่ายได้ดี นอกจากนี้ได้มีการศึกษาพบว่า ระบบการหายใจในช่วงบ่ายจะทำงานได้ดีกว่าในช่วงอื่นๆ ของวันด้วย
 
ข้อควรปฏิบัติในการออกกำลังกายตอนกลางวันถึงบ่าย
หากต้องการจะออกกกำลังกายในช่วงนี้ควรจะจัดสรรเวลาให้ดีและมีเวลาการออกกำลังกายอย่างน้อย 1 - 2 ชั่วโมงเผื่อการอบอุ่นร่างกาย และควรควบคุมการรับประทานอาหารหลังจากออกกำลังกายให้ดีเพื่อไม่ให้รับประทานเยอะจนเกินไป การออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับช่วงเวลานี้คือการออกกำลังกายในลักษณะที่เป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแบบใช้แรงต้าน เช่น Weight Training
 
ช่วงเย็นถึงค่ำ  เป็นช่วงเวลายอดนิยมของคนทำงาน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหลังจากการทำงาน อาจจะมีความล้ามาจากการทำงานทั้งวัน แต่โดยทั่วไปแล้วคนเราจะมีอุณหภูมิและฮอร์โมนในร่างกายสูงที่สุดก็ในช่วง 18.00 น เป็นต้นไป ทำให้สามารถออกกำลังกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และความเสี่ยงในการเกิดการบาดเจ็บน้อย เนื่องจากอุณหภูมิในร่างกายเป็นปกติ แถมยังช่วยผ่อนคลายความเครียด และลดอาการเมื่อยล้าจากการทำงาน เพราะการออกกำลังกายในช่วงเย็นจะช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกาย จึงจะทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้นหลังจากออกกำลังกาย ที่สำคัญยังช่วยลดความอยากอาหารในมื้อเย็นได้ ทำให้ไม่รับประทานมากจนเกินไป
 
ข้อควรปฏิบัติในการออกกำลังกายตอนเย็นถึงค่ำ
เพื่อให้การออกกำลังกายในช่วงเย็นถึงค่ำได้ผลดียิ่งขึ้น ในขณะออกกำลังกายและหลังจากออกกำลังกายควรดื่มน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายเป็นปกติ เพราะถ้าหากดื่มน้ำเย็นอุณหภูมิร่างกายจะปรับลดเร็วจนเกินไป ทำให้ร่างกายทำงานหนัก และเสียเหงื่อมาก อาจทำให้เป็นไข้ได้ และไม่ควรรับประทานอาหารก่อนออกกำลังกาย แต่ถ้าหากกลัวหมดแรงก็ควรรับประทานเป็นผลไม้แทน นอกจากนี้หลังจากออกกำลังกายแล้ว ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 4 - 6 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน เพื่อให้ร่างกายปรับสมดุลได้ และจะทำให้หลับได้สนิทมากขึ้น ส่งผลให้ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นอย่างสดชื่น
 
การออกกำลังกายในช่วงเวลานี้ทำได้ค่อนข้างหลากหลายขึ้นอยู่กับว่างานในวันนั้นๆ เป็นอย่างไร มีความเครียดหรือล้าจากการทำงานไหม ถ้าไม่มี สามารถที่จะเล่น Weight Training และ Cardio เพื่อ Burn Calorie ได้ด้วยแต่ถ้ามีความล้ามาแล้ว แนะนำให้เป็นกิจกรรมเบาๆ หรือเน้นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เช่น โยคะ
 
อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะเลือกออกกำลังกายแบบใด ก็ขอให้มีความสุขกับการออกกำลังกาย และบวกกับความมีวินัยในการออกกำลังกายจะทำให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดไป
 
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก https://www.sanook.com/health/13337/
19 ก.พ. 2567

ติดต่อเรา

71/2-13 โครงการโอโซนพลาซ่า ห้อง H1C,H2C ถนนคู้บอน แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงทพฯ 10230

Our Phone

Facebook

Our Line

ส่งข้อความหาเรา

ลูกค้าสามารถพิมพ์ข้อความที่ต้องการสอบถามได้จากฟอร์มด้านล่าง เมื่อทีมงานได้รับข้อความแล้ว จะติดต่อกลับลูกค้าโดยเร็วที่สุด

PILATES REFORMER

เรามีผู้ฝึกสอนส่วนตัวที่เป็นกันเอง ที่มีทักษะความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ลดกระชับสัดส่วน และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

เทรนเนอร์ ผู้ฝึกสอนส่วนตัว

เรามีผู้ฝึกสอนส่วนตัวที่เป็นกันเอง ที่มีทักษะความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ลดกระชับสัดส่วน และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

MUAY THAI

เรามีผู้ฝึกสอนส่วนตัวที่เป็นกันเอง ที่มีทักษะความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ลดกระชับสัดส่วน และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

GENTLE FLOW YOGA

เรามีผู้ฝึกสอนส่วนตัวที่เป็นกันเอง ที่มีทักษะความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ลดกระชับสัดส่วน และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

BODY BALANCE

เรามีผู้ฝึกสอนส่วนตัวที่เป็นกันเอง ที่มีทักษะความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ลดกระชับสัดส่วน และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

CARDIO

เรามีผู้ฝึกสอนส่วนตัวที่เป็นกันเอง ที่มีทักษะความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ลดกระชับสัดส่วน และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

GROP EXERCISE

เรามีผู้ฝึกสอนส่วนตัวที่เป็นกันเอง ที่มีทักษะความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ลดกระชับสัดส่วน และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

ANTIGRAVITY FITNESS

เรามีผู้ฝึกสอนส่วนตัวที่เป็นกันเอง ที่มีทักษะความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ลดกระชับสัดส่วน และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

เคล็ดลับออกกำลังกายอย่างไร ให้ทำได้ต่อเนื่อง โดยไม่ขี้เกียจ

การออกกำลังกาย ถือเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุด ซึ่งนอกจากจะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้แล้ว ยังจะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้นด้วย คนออกกำลังกายจึงมีข้อได้เปรียบมากกว่าคนที่ลดความอ้วนหรือลดน้ำหนักด้วยการคุมอาหารเพียงอย่างเดียว แต่จะออกกำลังกายอย่างไรให้เกิดความเคยชิน ไม่รู้สึกเบื่อหรือขี้เกียจขึ้นมากลางคัน วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ มาฝากกัน ที่จะสามารถทำให้คุณออกกำลังกายได้ต่อเนื่องโดยไม่ล้มเลิกความตั้งใจไปก่อน
 
1.เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการออกกำลังกายที่บ้าน
การออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ดี ควรเริ่มต้นมาจากการออกกำลังกายง่ายๆ ในบ้านของคุณเอง ซึ่งถือเป็นวิธีที่ไม่ทำให้คุณต้องเสียเงินสิ้นเปลืองกับการไปสมัครคอร์สแพงๆ ที่ฟิตเนส แถมยังไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทาง เพราะตื่นนอนในแต่ละวัน คุณก็สามารถออกกำลังกายได้ตามต้องการได้เลย โดยคุณอาจจะเลือกวิ่งเหยาะภายในห้อง, กระโดดเชือก, ฝึกโยคะหรือหรือวิ่งจ็อกกิ้งภายในสวนสาธารณะละแวกบ้านของคุณก็ได้
 
2.เลือกท่าออกกำลังกายง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์
เหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ขี้เกียจออกกำลังกายก็คือ การที่จะต้องหาอุปกรณ์ต่างๆ มาใช้ประกอบการออกกำลังกาย ทำให้เปลืองเวลา และเปลืองค่าใช้จ่าย ดังนั้นคุณสามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลมได้ด้วยการเลือกท่าออกกำลังกายแบบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น การวิ่งเหยาะๆ, การเต้นตามจังหวะเพลง, การโยคะหรือวิ่งขึ้น-ลงบันได เป็นต้น
 
3.ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
หลายคนที่ออกกำลังกายก็มักต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างในระยะเวลาที่ต้องการ บางคนเมื่อออกกำลังกายไปสักพัก แล้วไม่รู้สึกว่าตัวเองผองลง ก็อาจจะเลิกกลางคันไปซะดื้อๆ ดังนั้นเราขอให้คุณใจเย็นๆ ไว้ก่อน ท่องไว้ว่าการออกกำลังกายนอกจากจะทำให้ผอมลงแล้วก็จะทำให้ร่างกายสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ด้วย การคิดในลักษณะนี้จะทำให้คุณเกิดแรงจูงใจในการออกกำลังกายมากขึ้น และยังทำให้คุณออกได้ยาวนานมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
 
4.ไม่หักโหมมากเกินไป
การออกกำลังกายหักโหมมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้าเกินความจำเป็น ดังนั้น ไม่ควรใส่เต็ม 100 ในการออกกำลังกาย ควรเผื่อเอาไว้สัก 20 และออกกำลังกายในระดับ 70-80 % เท่านั้น เมื่อรู้สึกเจ็บหรือเมื่อยล้าก็พักร่างกายสักเล็กน้อย พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำต่อ วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกดีกับการออกกำลังกายมากขึ้น และไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องฝืนมากเกินไป
 
จะเห็นได้ว่าสาวๆ สามารถลดน้ำหนักด้วยตัวเองแบบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียตังค์เข้าฟิตเนสแพงๆ และยังเป็นการฝึกนิสัยในการออกกำลังกายให้เกิดความคุ้นชินในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี หากทำเป็นประจำก็จะสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวที่ลดลงได้อย่างตรงความต้องการมากยิ่งขึ้น
 
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก https://www.sanook.com/women/147689/

5 วิธีออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักผิดๆ ที่คนมักไม่รู้ตัว

1. ไม่ทานอาหารที่ให้พลังงานก่อนออกกำลังกาย
บางคนบ้าออกกำลังกายมาก เพื่อให้รูปร่างเล็กลง น้ำหนักลดลง จึงพยายามควบคุมปริมาณอาหารที่ทานเข้าไป และไปออกกำลังกายหนักๆ ด้วยเข้าใจว่าจะ “เบิร์น” เอาพลังงานที่ทานเกินเข้าไปออกให้หมด แต่ทราบหรือไม่ว่า หากไม่ทานอาหารที่ให้พลังงานกับร่างกายเลย แล้วไปออกกำลังกายหนักๆ นอกจากจะมีสิทธิ์เป็นลมเป็นแล้งไปได้แล้ว ยังอาจเสี่ยงเป็นโรคขาดสารอาหารในระยะยาวอีกด้วย และบอกได้เลยว่าร่างกายรวนแน่ๆ
 
เพราะฉะนั้นทานอาหารให้หลากหลาย ทานอาหารให้ครบทุกหมู่ เพียงแต่จำกัดปริมาณให้ดี แล้วค่อยออกกำลังกายดีกว่าค่ะ
 
2. ออกกำลังกายท่าเดียว
เคยเห็นคนที่ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส แล้วเอาแต่ยกเวทหรือเปล่าคะ หากเขาลุกไปเล่นเครื่องออกกำลังกายอื่นๆ ด้วยก็ดีไป แต่ถ้าเห็นเขาเล่นแต่แขนอย่างเดียว หรือกล้ามเนื้อท้องอย่างเดียว ต้องเตือนเขาแล้วล่ะ เพราะการออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของร่างกายอย่างแท้จริง ต้องออกกำลังกายให้ได้ทุกส่วน ทั้งแขน ขา หน้าท้อง สะโพก หรือส่วนอื่นๆ ด้วย ถ้าหน้าท้องมีซิกแพค แต่แขนขาไม่เฟิร์มก็คงแปลกๆ ดังนั้นพยายามออกกำลังกายให้ครบทุกส่วนนะคะ
 
3. คาร์ดิโอมากเกินไป
มีอีกบางจำพวกที่เอาแต่วิ่งๆ กระโดดๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กระตุ้นให้ร่างกายเหนื่อยหอบ หัวใจเต้นอยู่ตลอดเวลา หากเล่นคาร์ดิโอเพื่อเบิร์นหนักๆ ร่างกายจะเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินกับการเบิร์นในแบบนั้น จากที่เคยใช้เวลา 30 นาที เพื่อเบิร์น 200 กิโลแคลอรี่ หากร่างกายปรับตัวเมื่อไร เราอาจจะวิ่งได้นานขึ้น เหนื่อยน้อยลง แต่เผาผลาญพลังงานเท่าเดิม ดังนั้น เราควรออกกำลังกายแบบอื่นๆ สลับกันไปเรื่อยๆ อย่าให้ร่างกายคุ้นชินกับคาร์ดิโอมากเกินไป
 
4. ไม่วอร์มอัพ-คูลดาวน์
หลายคนไม่เห็นความสำคัญของการวอร์มร่างกายก่อนออกกำลังกาย และลืมที่จะคูลดาวน์หลังออกกำลังกายด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าทั้งสองอย่างนี้มีความสำคัญต่อร่างกายมากๆ เพราะการวอร์มอัพ และคูลดาวน์เป็นการช่วยลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ดี นอกจากนี้ยังเป็นการวอร์มกล้ามเนื้อหัวใจ ให้เต้นเป็นจังหวะ ไม่เร่งเร้าการสูบฉีดโลหิตมากเกินไป ลดอาการเหนื่อยหอบอย่างเฉียบพลัน หรือหน้ามืดจากการออกกำลังกายได้มากขึ้นอีกด้วย
 
5. นับแคลอรี่เป็นบ้าเป็นหลัง
จะกินอะไรก็นั่งนับอย่างละเอียด หยิบเครื่องคิดเลขมานั่งกดๆ เกินไป 10 กิโลแคลอรี่ก็จะไม่กิน แบบนี้เรียกว่าเคร่งครัดเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตได้ในภายหลัง ทางที่ดีควรทานอย่างระมัดระวัง ทานพออิ่ม เลือกประเภทของอาหารที่ทาน มีสติว่าวันนี้ทานอะไรไปบ้าง ควรหรือไม่ควรทานต่อ แล้วออกกำลังกายตามปกติ ทำเป็นประจำทุกวัน เท่านี้ก็ไม่ต้องนับแคลอรี่ให้วุ่นวาย นอกจากจำนวนแคลอรี่จะไม่ได้เท่ากันทุกจาน ทุกมื้ออย่างที่เข้าใจแล้ว หากกลางวันทานเยอะแล้ว แก้ปัญหาด้วยการไม่ทานอาหารเย็นเลย ก็อาจเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะในอนาคตได้
 
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากอยากออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักอย่างเห็นผล แต่ไม่แน่ใจในท่าออกกำลังกาย หรือการทานอาหาร เพื่อความปลอดภัยของร่างกายเราเอง คุณสามารถขอรับคำปรึกษาจากนักโภชนาการ และเทรนเนอร์ประจำฟิตเนสได้ค่ะ
 
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก https://www.sanook.com/health/3565/

วิธีออกกำลังกายให้เหมาะสมกับช่วงเวลา เช้า-กลางวัน-เย็น

ช่วงเวลาของการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดคือ ช่วงเวลาที่เราสะดวกที่สุด เพราะเป็นช่วงเวลา ที่ไม่ต้องเร่งรีบ ทำให้สนุกสนานไปกับการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ถ้าเราเลือกรูปแบบของการออกกำลังกายที่เหมาะสมแต่ละช่วงเวลา ก็จะทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
เรามีแนะนำรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมของช่วงเวลา เช้า กลางวัน และเย็น  เพื่อเป็นไอเดียในการออกกำลังกายดังนี้
 
ช่วงเช้า เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังฟื้นตัวจากการพักผ่อนในช่วงเวลากลางคืน และหลายคนก็เลือกออกกำลังกายในช่วงเช้า เพราะสามารถทำเป็นกิจวัตรประจำวันได้ ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงเช้ามีประโยชน์จะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญของร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปได้ทั้งวัน อีกทั้งช่วยกระตุ้นระบบการทำงานของหัวใจ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และยังทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น และตื่นตัวพร้อมสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ เนื่องจากการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น แถมยังช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นนั่นเอง อีกทั้งอากาศที่บริสุทธิ์และแสงแดดในตอนเช้ายังมีประโยชน์กับร่างกายด้วยเช่นกัน
 
ข้อควรปฏิบัติในการออกกำลังกายตอนเช้า
หากต้องการออกกำลังกายในช่วงเวลาเช้า ควรจะรับประทานอาหารก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอต่อการออกกำลังกาย และควรอบอุ่นร่างกายให้นานกว่าการออกกำลังกายในช่วงเวลาอื่น ๆ อย่างน้อย 10 - 15 นาที เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นมากพอสำหรับการออกกำลังกาย ที่สำคัญไม่ควรจะรีบรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำทันทีหลังจากออกกำลังกายหนัก เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการหายใจไม่ทัน หรือจุกได้ นอกจากนี้ยังควรพักผ่อนให้เพียงพออีกด้วย ในกรณีที่ป่วยควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายเพราะอาจจะทำให้หมดแรงได้
 
การออกกำลังกายที่แนะนำในตอนเช้าจะเป็นการออกกำลังกายที่เน้นในเรื่องของการทำ Cardio และการ Burn Fat หรือ Burn Calorie ยกตัวอย่างเช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
 
ช่วงกลางวันถึงบ่าย เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายทำงานอย่างเต็มที่ และอุณหภูมิในร่างกายจะเป็นปกติ การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายฟื้นตัวจากการพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงเวลานี้ร่างกายของเราจะมีระดับฮอร์โมนและการไหลเวียนที่สูงกว่าในช่วงเช้าและอยู่ในระดับปกติ ทำให้สามารถออกกำลังกายได้มากขึ้น ช่วยลดความอยากอาหารในมื้อกลางวันและมื้อเย็นได้ นอกจากนี้ยังไม่ทำให้กินจุบจิบอีกด้วย แถมยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นหลังจากการทำงานในช่วงเช้า ลดอาการง่วงเหงาหาวนอนในช่วงบ่ายได้ดี นอกจากนี้ได้มีการศึกษาพบว่า ระบบการหายใจในช่วงบ่ายจะทำงานได้ดีกว่าในช่วงอื่นๆ ของวันด้วย
 
ข้อควรปฏิบัติในการออกกำลังกายตอนกลางวันถึงบ่าย
หากต้องการจะออกกกำลังกายในช่วงนี้ควรจะจัดสรรเวลาให้ดีและมีเวลาการออกกำลังกายอย่างน้อย 1 - 2 ชั่วโมงเผื่อการอบอุ่นร่างกาย และควรควบคุมการรับประทานอาหารหลังจากออกกำลังกายให้ดีเพื่อไม่ให้รับประทานเยอะจนเกินไป การออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับช่วงเวลานี้คือการออกกำลังกายในลักษณะที่เป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแบบใช้แรงต้าน เช่น Weight Training
 
ช่วงเย็นถึงค่ำ  เป็นช่วงเวลายอดนิยมของคนทำงาน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหลังจากการทำงาน อาจจะมีความล้ามาจากการทำงานทั้งวัน แต่โดยทั่วไปแล้วคนเราจะมีอุณหภูมิและฮอร์โมนในร่างกายสูงที่สุดก็ในช่วง 18.00 น เป็นต้นไป ทำให้สามารถออกกำลังกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และความเสี่ยงในการเกิดการบาดเจ็บน้อย เนื่องจากอุณหภูมิในร่างกายเป็นปกติ แถมยังช่วยผ่อนคลายความเครียด และลดอาการเมื่อยล้าจากการทำงาน เพราะการออกกำลังกายในช่วงเย็นจะช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกาย จึงจะทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้นหลังจากออกกำลังกาย ที่สำคัญยังช่วยลดความอยากอาหารในมื้อเย็นได้ ทำให้ไม่รับประทานมากจนเกินไป
 
ข้อควรปฏิบัติในการออกกำลังกายตอนเย็นถึงค่ำ
เพื่อให้การออกกำลังกายในช่วงเย็นถึงค่ำได้ผลดียิ่งขึ้น ในขณะออกกำลังกายและหลังจากออกกำลังกายควรดื่มน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายเป็นปกติ เพราะถ้าหากดื่มน้ำเย็นอุณหภูมิร่างกายจะปรับลดเร็วจนเกินไป ทำให้ร่างกายทำงานหนัก และเสียเหงื่อมาก อาจทำให้เป็นไข้ได้ และไม่ควรรับประทานอาหารก่อนออกกำลังกาย แต่ถ้าหากกลัวหมดแรงก็ควรรับประทานเป็นผลไม้แทน นอกจากนี้หลังจากออกกำลังกายแล้ว ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 4 - 6 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน เพื่อให้ร่างกายปรับสมดุลได้ และจะทำให้หลับได้สนิทมากขึ้น ส่งผลให้ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นอย่างสดชื่น
 
การออกกำลังกายในช่วงเวลานี้ทำได้ค่อนข้างหลากหลายขึ้นอยู่กับว่างานในวันนั้นๆ เป็นอย่างไร มีความเครียดหรือล้าจากการทำงานไหม ถ้าไม่มี สามารถที่จะเล่น Weight Training และ Cardio เพื่อ Burn Calorie ได้ด้วยแต่ถ้ามีความล้ามาแล้ว แนะนำให้เป็นกิจกรรมเบาๆ หรือเน้นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เช่น โยคะ
 
อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะเลือกออกกำลังกายแบบใด ก็ขอให้มีความสุขกับการออกกำลังกาย และบวกกับความมีวินัยในการออกกำลังกายจะทำให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดไป
 
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก https://www.sanook.com/health/13337/